มัลดีฟส์ สวรรค์ของคนรักทะเล
จากคอลัมน์ "ท่องเที่ยวรอยเท้ารายทาง" โดยหนังสือพิมพ์ "บ้านเมือง"
"หนึ่งในทริปในฝันคือมัลดีฟส์" ถ้อยคำที่เราได้ยินบ่อยครั้งเมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวเดินทาง และ มัลดีฟส์ คือจุดหมายที่คนจำนวนมากใฝ่ฝัน รวมถึงเราและเพื่อนๆ โดยก่อนหน้านี้หลายคนเคยมีความคิดว่า เป็นไปได้ยากเพราะค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว แต่แล้วความคิดของพวกเราก็เปลี่ยนไป เมื่อได้พบกับ วิทวัส ไกรสุวรรณสาร แห่ง WonderfulPackage ที่บอกเล่าว่า การเดินทางไปท่องเที่ยวมัลดีฟส์ ปัจจุบันนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด หลังการประสานงานกับ WonderfulPackage เพื่อซื้อแพ็กเกจทัวร์เดินทางสู่มัลดีฟส์ ในที่สุดเราและเพื่อนรวม 12 คน ก็สมปรารถนา ในราคาพอใจ และที่สำคัญวันเดินทางไม่กระทบการทำงานอีกด้วย
มาเริ่มต้นรีวิวมัลดีฟส์ด้วยเช้าตรู่วันศุกร์ เราเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่องของสายการบิน ศรีลังกาแอร์ไลน์ส (SriLankan Airlines) และใช้เวลาเดินทางราว 3 ชม. ก็ถึงยังกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา สาเหตุที่ต้องแวะ โคลัมโบ เพราะเราใช้บริการของสายการบินศรีลังกาแอร์ไลน์ส ซึ่งในช่วงที่เราเดินทางนั้น ราคาตั๋วเครื่องบินถูกกว่าสายการบินอื่นที่บินตรงสู่มัลดีฟส์ ซึ่งใช้เวลาเพียง 4 ชม. เท่านั้น แต่เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เราก็ยินดีไปรอต่อเครื่องที่ โคลัมโบ ราว 2 ชม. เพื่อเดินทางสู่ มาเล (Male') เมืองหลวงของ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ โดยใช้เวลาเดินทางต่ออีกราว 1 ชม. เท่านั้น ก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดที่มาเล เราได้ยินเสียงฮือฮาของผู้โดยสารชาวไทยหลายคน รวมถึงเพื่อนของเราด้วย เพราะเมื่องมองไปเบื้องล่าง มีเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก เรียงรายอยู่กลางทะเลสีคราม
จากข้อมูล มัลดีฟส์ ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่เกือบ 1,200 เกาะ แต่มีผู้คนอาศัยอยู่ราว 200 เกาะ และประมาณ 80 เกาะ เป็นรีสอร์ทใหม่ซึ่งเป็นที่หมายปองของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
หลังเครื่องบินลงจอด เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองอย่างสะดวกโยธิน เพราะสำหรับชาวไทย ได้รับการยกเว้นวีซ่าในการมาเยือนมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบยิ่งนัก สนามบินมาเล หรือชื่อเต็มๆ ว่า Ibrahim Nasir International Airport ตั้งอยู่บนเกาะ มีท่าเรือซึ่งสามารถเดินทางต่อไปยังเกาะเล็กเกาะน้อยของมัลดีฟส์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พนักงานจากโรงแรมต่างๆ ยืนถือป้ายรอรับผู้มาเยือนกันลานตาไปหมด พวกเราจึงต้องช่วยมองหาป้ายโรงแรม เซ็นทารา ราส ฟูชิ รีสอร์ทแอนด์สปา มัลดีฟส์ (Centara RAs Fushi Resort & Spa Maldives)
ในที่สุดเราก็พบกับ คิม สาวยิ้มหวานชาวมาเลเซียที่มารอรับพวกเรา เพียงยื่นเอกสารยืนยันการจองแพ็กเกจ เธอก็จัดการติดป้ายกระเป๋าพวกเราทุกใบ ก่อนจะนำทางไปยังเรือสปีดโบ๊ท ของโรงแรมที่รออยู่ คิม ปล่อยให้เราสนุกสนานกับการเก็บภาพที่ท่าเรือเพียงครู่ก็ขอให้ทุกคนขึ้นเรือ เนื่องจากมองเห็นเค้าของเมฆฝนมาแต่ไกล เพียงไม่นานฝนก็เทลงมา พร้อมๆ กับเรือเดินทางถึงโรงแรมพอดี โดยใช้เวลาราว 20 นาที
เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่เป็นชาวไทย รอต้อนรับพวกเราอยู่ที่ท่าเรือ พร้อมกับอธิบายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ระหว่างที่พวกเราพักที่นี่ เช่นว่า อาหารวันละ 3 มื้อ เครื่องดื่มฟรีตลอดวันถึงเที่ยงคืน และอุปกรณ์อื่นๆ
ห้องพักหลักๆ ของที่นี่มี 2 แบบ คือ Ocean Front Beach Villas ซึ่งเป็นห้องพักที่หันหน้าสู่หาดทุกห้อง อีกแบบคือ Water Villas ลักษณะเป็นบ้านกลางน้ำที่กลายเป็นภาพจำของมัลดีฟส์ไปแล้ว พวกเราทุกคนเลือกพัก Water Villas กันถ้วนหน้า ทั้งที่มีราคาสูงกว่าห้องริมหาด แต่เพราะไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว และน่าเชื่อว่าใครอีกหลายคนที่มาเยือนมัลดีฟส์ ก็คงปรารถนาจะพักใน Water Villas เช่นกัน
บ้านกลางน้ำแต่ละหลัง เชื่อมถึงกันด้วยสะพานไม้แข็งแรงทอดยาวไปยังแต่ละหลัง มีรถกอล์ฟเป็นพาหนะหลักในการขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้และสัมภาระ และเราโชคดีได้บ้านหลังริมสุดทาง ทุกห้องมีบันไดทอดลงไปในน้ำ พร้อมฝักบัวสำหรับล้างตัวริมบันได เพื่อนรุ่นพี่ที่พักห้องเดียวกับเรา รีบกระโจนลงน้ำหลังมาถึงเพียงชั่วครู่ แล้วก็ต้องร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจว่า "เฮ้ย มิดหัวเลยนะเนี่ย"
น้ำทะเลที่ใสจนมองเห็นถึงพื้นนั้น เราคิดเอาเองว่าน่าจะลึกประมาณไม่เกินหน้าอก แต่หลังจากเพื่อของเราทดสอบแล้ว จึงแน่ใจว่าน้ำลึกกว่าที่คิดมาก เราไม่รอช้อรีบคว้าเสื้อชูชีพซึ่งมีไว้ประจำทุกห้องทันที เหล่าเพื่อนๆ ชวนกันเลือกห้องเราซึ่งเป็นห้องริมสุด ลงดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะต่อด้วยการเล่นน้ำต่อที่สระว่ายน้ำ ซึ่งมีเครื่องดื่มหลากหลายบริการ ให้ได้ลิ้มลองกันจนพอใจ
มื้อค่ำของเราอยู่ที่ ห้องอาหารโอเชี่ยน ซึ่งเป็นห้องอาหารหลัก และบริการอาหารเช้าที่ห้องอาหารแห่งนี้ด้วยเช่นกัน โดยมี Mama พ่อครัวชาวมัลดีฟส์ ที่คอยทำไข่ดาวให้เรา และชวนพูดคุยอย่างสนุกสนาน ผู้เข้าพักแบบ Inclusive เหมารวมทุกอย่าง สามารถจองมื้อเที่ยงหรือเย็น ที่ห้องอาหารอิตาเลียน ชื่อ La Brezza หรืออาหารไทยที่ห้องอาหาร สวนบัว และยังมี Al Khaimah เพื่อลิ้มลองอาหาร เบดูอิน
หลังอิ่มหนำกับมื้อค่ำ พวกเราก็ชวนกันไปต่อที่ Viu Bar บาร์เครื่องดื่มที่บริการถึงเที่ยงคืน แต่เพราะเวลาที่มัลดีฟส์ช้ากว่าเมืองไทย 2 ชม. ดังนั้น ราว 4 ทุ่มเวลาท้องถิ่น เพื่อนเราหลายคนก็เริ่มหาวหวอดกันแล้ว
เราแยกย้ายกันเข้านอน เพื่อเก็บแรงไว้ในวันพรุ่ง โดยในวันที่ 2 เราชวนกันยืมสนอร์เกิลฟรี เพื่อดำน้ำตื้นดูปลารอบๆ บ้าน ขณะที่เพื่อนกลุ่มหนึ่งของเราจองกิจกรรมเพิ่มเติม คือนั่งเรืออกไปดำน้ำดูปะการัง ระหว่างรอเพื่อนๆ ออกไปดำน้ำนอกเกาะ เราก็เดินเล่นเก็บภาพรอบๆ รีสอร์ท ฟ้าสีฟ้า ทะเลสีทะเล ที่ต้องยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งว่า มัลดีฟส์ เป็น สวรรค์ ของคนรักทะเลสมคำร่ำลือจริงๆ
เพื่อนอีกกลุ่มที่ยังคงดำผุดดำว่ายอยู่รอบๆ บ้าน โบกไม้โบกมือให้เรามาดู ปลานกแก้ว สีสวย และยังพบกับ ฉลามน้อย (Baby Shark) ที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเหล่านักท่องเที่ยว ขยันว่ายมาอวดโฉมอยู่เรื่อยๆ ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาอีกหน่อย เห็นจะเป็น ปลาไหลมอเรย์ สีดำสนิท ที่เพื่อนของเราลงทุนว่ายตาม พร้อมกล้องถ่ายภาพใต้น้ำ เพื่อดูให้รู้แน่ว่าเป็นปลาชนิดใด หลังเห็นชัดจะจะ ก็รีบว่ายน้ำกลับในทันที เรารู้จากเพื่อนทีหลังว่า ปลาไหลมอเรย์ เป็นหนึ่งในสัตว์ดุร้ายแห่งท้องทะเล จึงไม่น่าแปลกใจที่เพื่อนเราแทบจะขึ้นจากน้ำในทันทีที่เห็นหน้าตากันจะจะ กระนั้นก็ยังอุตส่าห์เก็บภาพใต้น้ำมาไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
มื้อค่ำของคืนที่ 2 เราจองห้องอาหาร Al Khaimah เพื่อลิ้มลองอาหาร เบดูอิน ภายในเต็นท์ที่สร้างราวกับกำลังนั่งอยู่ในกระโจมกลางทะเลทราย มี มอระกู่ หรือ ชีชะฮ์ (shisha) ไว้บริการพร้อมสรรพ จากมื้อค่ำเรากลับไปต่อกันที่ Viu Bar ที่ราว 4 ทุ่มก็มีดนตรีโฟล์คซองมาขับกล่อมให้เพลิดเพลิน ยิ่งตอกย้ำให้เรารู้สึกว่า มัลดีฟส์ เหมาะสำหรับคนที่จะมาเพื่อพักผ่อนชาร์ตแบต เพื่อเพิ่มพลังให้แก่ชีวิตจริงๆ
วันที่ 3 เราเริ่มวันด้วยการเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นราว 6 โมงเช้า ต่อด้วยกิจกรรมทางน้ำกับเพื่อนๆ และปิดท้ายด้วยการเช็คเอาท์ราวเที่ยงวัน แต่ยังสามารถใช้บริการบาร์เครื่องดื่มได้จนกระทั่งเรือมารับไปสนามบิน
ภาพนักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติ สนุกสนานกับการดื่มกิน และกิจกรรมทางน้ำหลากหลายที่มัลดีฟส์ ประกอบกับการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นระบบ ทำให้เราไม่แปลกใจที่ใครต่อใครต่างพากันอยากมาที่นี่ ราว 5 โมงเย็น เรือก็มารับพวกเราเดินทางสู่สนามบิน มาเล อีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่ เมืองไทย โดยแวะต่อเครื่องที่โคลัมโบ และกลับถึงสุวรรณภูมิ ราว 6 โมงเช้าของวันจันทร์
ทริปในฝัน 3 วัน 2 คืน ของพวกเราที่ มัลดีฟส์ นับเป็นประสบการณ์ที่ดีของเพื่อนร่วมทาง และน่าเชื่อว่าหากมีโอกาส หลายคนคงอยากกลับไปเยือนหมู่เกาะปะการับแห่ง มหาสมุทรอินเดียนี้อีก
ชูกุริยา-ขอบคุณ มัลดีฟส์ สวรรค์ของคนรักทะเล ที่ทำให้เรามีความทรงจำงดงามอีกครั้ง...
ขอขอบคุณบทความดีๆ จากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้