ลัดฟ้าไปหาลุงโฮ ณ โฮจิมินห์ ซิตี้ เวียดนาม
พาเที่ยวลัดฟ้าไปเวียดนาม บินไปถิ่นลุงโฮ ณ โฮจิมินห์ ซิตี้ รีวิวแน่นๆ เต็มๆ ทริป ฉบับคนเดินทางจริง ทั้งไปชมที่มาที่ไปของโฮจิมินห์ ตึกสวยๆ สถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส อาหารเวียดนามอร่อยๆ แล้วไปสัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวเวียดนามแท้ๆ ตามไปเที่ยวเวียดนามพร้อมๆ กันเลย!
เนื่องจากเมื่อช่วงเดือน กันยายน ได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระ ณ เมืองโฮจิมินห์ พอมีเวลาว่างเล็กน้อยก็เลยออกเดินทางไปตามหาสิ่งต่างๆ ที่น่าสนใจที่นั่น พร้อมแล้วตามมากันเลยค่ะ
ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประมาณ 11.20 น. เดินทางโดยสายการบิน VIETNAM AIRLINES ค่ะ สายการบินแห่งชาติของบ้านเค้าเลย (ลำสีฟ้าๆ ใหญ่ๆ ที่จอดอยู่ตรงนั้นละค่ะ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้วค่ะ อาหารเสิร์ฟบนเครื่องเป็นสลัดน่าทานเชียวค่ะ (แต่ว่าแอบเค็มไปนิดนึง)
ยังไม่ทันได้หลับก็ถึงแล้วค่ะ พอลงเครื่องเราก็เดินทางไปยังโรงแรมที่พัก ครั้งนี้เราเลือกเป็น MOVEN PICK ห่างจากสนามบินไม่เกิน 20 นาทีค่ะ ระหว่างทางเราแอบเห็น ที่นี่มี Big C ด้วยค่ะ แต่ว่าตอนที่ถ่ายอยู่บนรถมันเลยเห็นแบบไกลๆ หน่อยนะคะ
แป๊ปเดียวก็ถึงโรงแรมแล้วค่ะ แต่ว่าด้วยความรีบค่ะ ไม่ได้ถ่ายรูปหน้าโรงแรมมา นึกได้อีกทีก็มายืนเอ๋ออยู่ที่ Lobby ละค่ะ (ไม่อยากจะบอกค่ะ ว่าจริงๆ แล้วแอบง่วง แหะ แหะ...)
ภายในห้องพักเค้าก็สะดวกสบายนะคะ ห้องใหญ่อยู่ มีอ่างอาบน้ำด้วย แต่แอบมีมุมสยิวด้วยนะคะ เนื่องจากว่าผนังห้องน้ำแทนที่มันจะทึบ มันกลับเป็นกระจกน่ะสิคะ ถ้าไปฮันนีมูนมันก็โอเคล่ะค่ะ แต่ถ้าไปกับคนอื่นนี่สิคะ คือบางทีมันก้อ.....แบบว่า เอาเป็นว่าช่างมันค่ะ เค้ามีม่านให้ปิด ^^
สำรวจห้องพักเรียบร้อยแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาออกไปสำรวจเมืองลุงโฮกันแล้วค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นแล้วจุดหมายแรกของเราก็คือ อาหาร มันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะคะ ถ้าไม่ใช่ “เฝอ” มาถึงถิ่นเค้าแล้วนี่ มันต้องลองค่ะ คล้ายก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กบ้านเรา แต่ว่าเส้นเค้าจะกว้างกว่า จะเสิร์ฟมาพร้อมกับพวก ผักชีฝรั่ง ใบโหระพา พริกสด มะนาว และซอสพริก ปรุงรสได้ตามใจชอบ เฝอที่นี่ส่วนใหญ่จะมีแค่ไก่ กับ เนื้อ ค่ะอยากรู้เหมือนกันว่าทำไมไม่มีหมู แต่ด้วยความหิวพออาหารมา ทุกอย่างที่สงสัยมันก็หายไปหมดแล้วอ่า ถามว่าอร่อยมั้ยบอกเลยค่ะว่าอร่อย แต่คืนนั้นลุกขึ้นมาดื่มน้ำอีกหลายแก้ว เข้าใจกันแล้วใช่มั้ยคะว่าอร่อยเพราะอะไร ผงชูรสดีดีนี่แหละค่า
เดินย่อยอีกนิดหน่อยก็กลับเข้าโรงแรมค่ะ บรรยากาศหน้าโรงแรม ฝนเพิ่งหยุดตกค่ะ ขอตัวไปพักผ่อนเอาแรงก่อนน้า พรุ่งนี้ลุยใหม่
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่
อรุณสวัสดิ์ค่ะ หลับสบายมากเลย มาดูอาหารเช้าดีกว่าค่ะ
อิ่มท้องแล้ว ทีนี้ก็ออกเดินทางต่อได้แล้วค่ะ ที่แรกที่เราจะไปวันนี้คือ “พิพิธภัณฑ์สงคราม” พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เล่าเรื่องราวในอดีตที่แสนโหดร้าย ขมขื่น ที่หลายคนไม่อยากพูดถึง และเกรงจะทำให้รอยร้าวของประเทศ ที่เคยแบ่งเป็นเวียดนามเหนือ - ใต้ ยากที่จะประสานเข้าด้วยกัน ภายนอกอาคารพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงซากชิ้นส่วนอาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบิน ระเบิด ของกองทัพอเมริกัน ที่ฝ่ายเวียดกงยึดมาได้ ภายในอาคารมีการจัดแสดงหลายอย่าง เช่น การใช้อาวุธเคมี ในช่วงสงครามเวียดนาม พอเดินเข้ามาข้างในแล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
จากนั้นเราก้อนั่งรถต่อไปกันที่ “อดีตทำเนียบประธานาธิบดี” เมื่ออดีตที่นี่เป็นที่พำนักของประธานาธิบดีเวียดนามใต้ แต่แล้วในวันที่ 30 เม.ย. ค.ศ. 1975 เมื่อเวียดนามเหนือชนะเวียดนามใต้ทำเนียบก็ถูกยึด และปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ชม ภายในตัวอาคารหลังใหญ่ที่ดูทันสมัย ได้ถูกจัดให้เห็นถึงห้องหับต่างๆ มากมาย ตามชั้นต่างๆ อาทิ มีห้องประชุมใหญ่ ห้องแผนที่ ห้องทำงานอดีตประธานาธิบดี ห้องฉายหนัง บนดาดฟ้ามีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และยังมีชั้นใต้ดินที่เต็มไปด้วยห้องลับบัญชาการมากมาย
จากทำเนียบประธานาธิบดี เรานั่งรถต่อไปที่ กรมไปรษณีย์กลางค่ะ ไม่ไกลกันเท่าไหร่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว “ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์” เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนามและยังคงให้บริการเป็นปกติอยู่ค่ะ ด้านในกว้างใหญ่มากค่ะ มีรูปลุงโฮติดเด่นอยู่ด้านบน ด้านในมีร้านค้าเล็กๆ ขายสินค้าที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวด้วย แล้วหากว่าใครอยากส่งโปสการ์ดกลับไปหาคนที่บ้าน ก็สามารถใช้บริการที่นี่ได้ค่ะ
ย้ายมาฝั่งตรงข้ามค่ะ แค่ข้ามถนนมาเราก็จะเจอกับ “โบสถ์นอร์ทเธอดาม” ชาวฝรั่งเศสจำลองการสร้างมาจากโบสถ์นอร์เธอดามในฝรั่งเศสมาไว้ที่นี่ค่ะ ด้านหน้าโบสถ์ยังมีรูปปั้นพระแม่มารีสีขาวบริสุทธ์ตั้งเด่นสง่าคู่กับโบสถ์ ในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ชาวเวียดนามจะนิยมมาสวดมนต์ และชาวเวียดนามส่วนใหญ่นิยมมาถ่ายภาพและแต่งงานกันที่โบสถ์แห่งนี้ โดยมีความเชื่อว่า บ่าวสาวคู่ใดที่ได้มาแต่งงานที่นี่แล้วจะมีความรักที่ยืนยาวไม่มีวันพรากจากกัน มีใครสนใจมาแต่งงานที่นี่มั้ยคะ
ที่นี่สมคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ มอเตอร์ไซค์เยอะมากกกก......... แต่ที่นี่เค้าใส่หมวกกันน็อคกันทุกคนนะคะ ไกด์บอกว่าคนตาบอดเดินข้ามถนนไม่ผิดนะคะ และคนที่ขับ หรือ ขี่รถก็มักจะหยุดรถให้กับคนตาบอดค่ะ ก็เลยให้พวกเราลองหลับตาเดินค่ะ แต่บอกเลยว่า พวกเราลืมตากันโตเลยค่ะ แม้กระทั้งลานจอดรถ เค้าก็มีพื้นที่ไว้ให้มอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์อีกค่ะ
จากโบสถ์นอร์ทเธอดาม เรานั่งแท็กซี่ไปกันที่ ตลาดเบนถันห์ ค่ะ ค่าแท็กซี่ราคาถูกกว่าบ้านเรานิดหน่อยจ่ายไป ประมาณ 75 บาทได้ ไม่เกิน 10 นาทีถึงค่ะ แท็กซี่ที่นี่รูดบัตรเครดิตได้ด้วยนะคะ เผื่อใครแลกเงินมาไม่พอ แนะนำเลยค่ะที่นี่กระเป๋าเดินทางถูกค่ะ กับรองเท้ากีฬาแบรนด์ต่างๆ โอเคอยู่นะคะ ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ซื้อได้ค่ะ สอยมา 2 คู่จ้า
เที่ยวแล้ว ช้อปแล้ว ก็ถึงเวลาเติมพลังละค่ะ เย็นนี้เราทานอาหารเย็นกันบนเรือค่ะ ล่องไปตามแม่น้ำไซ่ง่อน อาหารที่นี่จะคล้ายๆ บ้านเราค่ะ อร่อยใช้ได้ ระหว่างที่ล่องเรือ ก็จะมีการแสดงต่างๆ ของบ้านเค้าให้เราดูค่ะ แต่ว่าที่เซอร์ไพรส์คือ เค้าเล่นเพลงลอยกระทงของเราได้ด้วยค่ะ
ลืมบอกค่ะ วันนี้เราแอบไปตามรอยคนดังมา เราไปทาน “เฝอ” ที่ร้าน เฝอ 2,000 มาค่ะ ทำไมถึงบอกว่าดังน่ะเหรอคะ ก็เพราะว่าท่านอดีตประธานาธิบดี Bill Clinton เคยมาทานที่นี่นะสิคะ ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับตลาดเบนถันห์ค่ะ มี 2 ชั้น เห็นง่ายค่ะ ข้ามถนนมาถึงเลย
วันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางไปยังเมือง “หวุงเต่า” ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ที่นี่เป็นเมืองตากอากาศของเค้าค่ะ แต่ไกด์เค้าก็บอกตรงๆ นะคะ ว่าที่นี่ยังไงก็ยังสู้ทะเลที่เมืองไทยไม่ได้ (หึหึ....ภูมิใจมากค่ะบอกเลย) แต่ที่นี่เปรียบได้กับบางแสนบ้านเราย้อนไปสักเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้ อันนี้ไกด์บอกนะคะ ไม่ได้มโนเอาเองน้า ที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเรือของประเทศเวียดนามด้วยค่ะ เห็นเงียบๆ แบบนี้ที่นี่มีแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นของตัวเองด้วยนะ
พออิ่มกับบรรยากาศลมทะเล เราก็ไปชม พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม ซึ่งได้รับอิทธิพลการออกแบบจากฝรั่งเศสและปลูกสร้างอยู่ใต้ร่มเงาของทิวสนใหญ่ ที่นี่จะมีทั้งห้องพัก ห้องทำงาน เครื่องชามและวัตถุโบราณต่างๆ ที่เก็บมาจากทะเลหวุงเต่าค่ะ ด้านหน้าของวังโล่งๆ เลยค่ะ จะเห็นเป็นวิวทะเล รับลมได้ดีเลยค่ะ
เราค้างคืนกันที่หวุงเต่า 1 คืนค่ะ พักที่โรงแรม Imperial ห้องสวยมาก กว้างด้วยค่ะ ห้องน้ำนี่เข้าไปกลิ้งได้เลยแหละ ลืมถ่ายตั้งแต่ตอนเดินเข้าไป นึกได้ก็ตอนที่รื้อกระเป่าออกมาแล้วนี่แหละค่ะ สภาพก็เลย รกอย่างที่เห็นค่ะ
ได้เวลาบ๊าย บายเมืองลุงโฮแล้วค่ะ นั่งรถจากหวุงเต่า เข้ามายังตัวเมืองโฮจิมินห์ ดิ่งตรงไปสนามบินเลยค่ะ ไม่ได้แวะที่ไหน ไว้มาโอกาสจะเดินทางมาที่นี่ใหม่นะคะ เพราะรู้สึกว่าทริปนี้ยังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ ยังไม่ได้ไปลัดเลาะ ซอกซอยที่นี่เลยค่ะ หวังว่าที่นี่คงเป็นอีก 1 ตัวเลือกให้กับหลายๆ คนที่กำลังมองหาทริปเดินทางอยู่นะคะ
�
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้