รีวิวเที่ยวเวียดนาม ลัดฟ้าไปฮานอย ซาปา
พาขึ้นเหนือของเวียดนามกันบ้างค่ะ ลองมาดูกันว่าที่ภาคเหนือของเวียดนามจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามมากันได้เลยค่ะ เป้าหมายในทริปนี้ของเราก็คือ เมืองฮานอยและซาปา ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ใครพร้อมลุยแล้วตามมาเลยค่ะ เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนเวลา 11.55 น. โดยสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ ที่นั่งสะดวกสบาย อาหารและเครื่องดื่มก็มีเสิร์ฟค่ะ รับรอง อิ่มแน่นอนถ้าพร้อมแล้วไปทัวร์เวียดนามพร้อมกันเลย!!!
ไม่นานมากเจ้าโลมายักษ์ก็พาเรามาถึงสนามบินนอยไบแล้วค่ะ เวลาของที่นี่ไม่มีอะไรต่างกับบ้านเรา
ที่นี่ไม่ต้องใช้ใบ ตม. แล้วนะคะ สามารถใช้พาสปอร์ตเป็นใบเบิกทางในการผ่านด่านการตรวจคนเข้าเมืองได้เลยค่ะ
หลังจากผ่าน ตม. ก็ออกมารับกระเป๋า จากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างนึงคือ Sim Card ค่ะ พลาดไม่ได้เลยค่ะชาวโซเชียล ราคาประมาณ 10 USD สมคำร่ำลือค่ะ ของเค้าเร็วจิงๆ
เรียบร้อยแล้วเราก็เตรียมตัวเคลื่อนพลพรรคเข้าไปยังตัวเมืองค่ะ จากสนามบินเข้าไปในตัวเมืองใช้เวลาประมาณ 40 นาที
จุดแรกของเราก็คือ “ทะเลสาบคืนดาบ” ทะเลสาบใจกลางเมืองฮานอย ทะเลสาบแห่งนี้มีตำนานกล่าวว่า ในสมัยที่เวียดนามทำสงครามกับจีนมาเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถเอาชนะได้สักทีทำให้เกิดความท้อแท้พระทัย เมื่อได้ล่องเรือที่ทะเลสาบแห่งนี้ ได้มีเต่าขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้คาบดาบวิเศษมาให้ หลังจากที่ได้รับดาบมา พระองค์กลับไปทำสงครามอีกครั้งและได้รับชัยชนะ ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เมื่อเสร็จศึกสงครามแล้ว พระองค์ได้นําดาบมาคืน ณ ทะเลสาบแห่งนี้
เดินเหนื่อยแล้ว เปลี่ยนมานั่ง Cyclo กันบ้างค่ะ หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร มันคือรถสามล้อค่ะ เรานั่งอยู่ข้างหน้า คนปั่นอยู่ข้างหลัง น่าจะเหนื่อยน่าดูนะคะ เรานั่งสามล้อวนกันไปรอบๆ เมืองเก่า หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันในนาม “ถนน 36 สาย” แหล่งชอปปิ้งยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ ของขายเยอะมาก ร้านนั่งชิลล์ก็เยอะเช่นกัน ที่ถนน 36 สายแห่งนี้ จะมีตรอกซอกซอยเยอะมาก หนึ่งซอยมีหลายร้านค้าค่ะ แต่จะเป็นสินค้าชนิดเดียวกันทั้งซอยเลยค่ะ
ช้อปปิ้งกันแล้ว ท้องก็ร้องแล้วเหมือนกันค่ะ อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผักค่ะ สังเกตได้จากหุ่นของคนเวียดนาม น้อยมากค่ะที่จะเจอคนอ้วน เพราะคนที่นี่นิยมทานผักเป็นหลักค่ะ อาหารรสชาติค่อนข้างจืดค่ะ สำหรับท่านที่ติดมีรสชาติ อย่าลืมติดซีอิ๊ว น้ำปลาไปนะคะ ^^
หลังจากทานข้าวเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางสู่เมืองแห่งสายหมอกกันแล้วค่ะ วิธีการเดินทางก็คือการนอนบนรถไฟ ไม่ใช่การนอนบนเบาะนั่งนะคะ มันคือการนอนจริงๆค่ะ ใน 1 ห้อง จะมีอยู่ 4 เตียง เป็นเตียง 2 ชั้นค่ะ ถามว่าลำบากมั้ย เราว่าก็ไม่นะคะ ได้พักผ่อนแบบเต็มที่ ห้องสุขาไว้ปลดทุกข์และล้างหน้าแปรงฟันด้วยนะคะ แต่รถไฟขบวนนี้จะไม่ได้พาเราไปถึงที่ซาปา จะถึงแค่ที่เมืองลาวไกเท่านั้น
ขึ้นรถไฟตอน 21.30 น. ถึงเมืองลาวไกตอนประมาณ 05.30 น. ลงรถไฟแล้วเราต้องนั่งรถเพื่อต่อไปยังเมืองซาปาค่ะ ระยะทางเพียง 35 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงเลยค่ะ เนื่องจากว่าเป็นทางขึ้นเขา รถไม่สามารถขับเร็วได้ ฝนตกอีกด้วยค่ะ สักพักรถก็พาเรามาถึงแล้วค่ะ ถึงปุ๊บฝนหยุดปั๊บ แต่ที่ประทับใจไปกว่านั้นพอฝนหยุด หมอกก็เริ่มแทนที่ฝนต้อนรับกันอย่างดีตั้งแต่วินาทีแรกที่ไปถึงเลยค่ะ
หลังจากที่เมื่อคืนซักแห้งกันมาบนรถไฟ เช้านี้ก็ต้องทำความสะอาดกันหน่อยละค่ะก่อนไปลุยต่อ สถานที่แรกที่เราไปเยือนก็คือ หมู่บ้านกั๊ต กั๊ต (Cat Cat Village) ห่างจากตัวเมืองซาปาประมาณ 3 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเขาเผ่าม้งที่อพยพมาจากประเทศจีน
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบครึ่งวันค่ะเนื่องจากที่หมู่บ้านนี้จะเป็นลักษณะอยู่ในหุบเขาเพราะฉะนั้นแล้วการเดินของเราจึงเดินต้องค่อยๆ เดินค่ะ เพราะเดินเร็วไม่ไหวค่ะเหนื่อยมาก ตอนเดินลงไม่เท่าไหร่ ตอนขึ้นนี่สิคะต้องฉุดกระชากลากถูกันไป
อาชีพของชาวเขาที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะมาจากการปลูกข้าวและข้าวโพด ทอผ้า ปักผ้าค่ะ จะเห็นได้จากสองข้างจะมีร้านขายของฝากประเภทนี้เยอะมาก รวมถึงชาวเขาก็นั่งทำให้เราเห็นกันตรงนั้นเลยค่ะ
หายเหนื่อยเราก็ไปต่อที่ยอดเขา ฮัมรอง (Hamrong Mountain) กันเลยค่ะ บนยอดเขาแห่งนี้จะมีสวนดอกไม้และจุดชมวิวเมืองซาปาแบบพาโนรามา (วันที่เราไป ไม่สามารถขึ้นไปบนจุดชมวิวได้ เนื่องจากฝนตกหนักค่ะ) แต่ได้ขึ้นมาเห็นสวนดอกไม้สวยๆ ก็ยังดีค่ะ
ในช่วงเย็นเราออกไปเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินค่ะ จะมีชาวเขา จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง และร้านค้าที่ขายสินค้า ก็อปปี้แบรนด์ต่างๆ ที่เวียดนามเป็นผู้ผลิตค่ะ อาทิเช่น รองเท้าผ้าใบ กระเป๋า เดินเล่นกันสักพักท้องเริ่มร้อง พากันไปทานปิ้งย่าง แบบซาปาสไตล์ค่ะ จะเป็นพวกเนื้อพันกับผักแล้วก็เอาไปย่าง จิ้มกับน้ำจิ้ม กินพร้อมกับไวน์ท้องถิ่นที่ชาวบ้านหมักเองรับรองว่าเด็ดค่ะ ถ้ามาช่วงฤดูหนาวมีกรี๊ดแน่ๆ ค่ะ อากาศเย็นๆ เนื้อย่างอุ่นๆ ฟิน........ค่ะ
เช้าวันที่สองในซาปา วันนี้เราจะไปชมทุ่งนาขั้นบันได ที่หมู่บ้าน Tavan Village กันค่ะ ที่นี่แหละค่ะที่เป็นที่ร่ำลือความสวยงามของนาขั้นบันได เสียดายที่เราไปช่วงฤดูร้อนย่างเข้าฤดูฝนเค้าเพิ่งกำลังปลูกข้าวกันค่ะ ถึงแม้จะยังไม่มีทุ่งข้าวสีเขียวๆ เหลืองๆ ใช่ว่าที่นี่จะไม่สวยนะคะ แต่ก็สวยไปอีกแบบนึงค่ะ (ช่วงที่สวยที่สุดของนาขั้นบันไดก็คือเดือน ก.ค. – ช่วงต้นเดือน ก.ย. ค่ะ)
หลังจากที่ไปชมทุ่งนาขั้นบันไดกันแล้ว ทีนี้เราไปน้ำตกกันบ้างค่ะ เราไปกันที่น้ำตกสีเงิน Thac Bac Waterfall น้ำตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของซาปา ระดับน้ำสูงถึง 100 เมตร ก่อนตกลงมาสู่เบื้องล่าง ความสูงของน้ำตกที่ทอดยาวเมื่อเวลาที่แสงแดดส่องเข้ามา น้ำตกก็จะกระทบแดดเป็นสีเงินสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล และในวันที่อากาศดีสามารถมองเห็นน้ำตกแห่งนี้ได้ โดยมองจาก ภูเขาฮัมรอง ได้อีกด้วยเช่นกัน
วันสุดท้ายของพวกเราในเวียดนามแล้วค่ะ วันนี้เราจะพาทุกคนไปสักการะลุงโฮกันค่ะ คนเยอะมากกกกก ต่อแถวกันเป็นกิโลๆ เลยค่ะ
ได้เวลาโบกมือลาเมืองลุงโฮกันแล้วล่ะค่ะ บอกได้เลยค่ะว่าซาปาเป็นสถานที่ที่พวกเราประทับใจที่สุดในทริปนี้ ทั้งบ้านเมือง สภาพแวดล้อม ผู้คน ทุกอย่างยังคงเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรมากมาย หวังว่าหากวันไหนที่คุณๆ อยากพัก หลบหนีความวุ่นวายที่นี่อาจจะเป็นที่แรกที่พวกคุณคงนึกถึง ไม่ต้องรีบร้อนหรือเร่งรีบ ไม่ต้องแข่งขัน สูดอากาศเข้าบริสุทธิ์ได้เต็มปอด รับรองค่ะว่าเมืองนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้