เที่ยวญี่ปุ่นฉบับมือใหม่ เดินทางในญี่ปุ่นควรเริ่มต้นยังไงดี
ถ้าหากว่าเราคิดจะเดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ เรื่องที่คุณควรจะต้องรู้ในการเดินทางในญี่ปุ่นสำหรับวิธีที่ง่ายและไม่ต้องกลัวหลงที่สุดก็คือ การนั่งรถไฟนั่นเอง
JR Pass
เริ่มด้วยเรื่องตั๋ว วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมือใหม่ ขอแนะนำให้ซื้อ JR Pass ไว้ดีกว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติที่มีสถานะ Temporary Visitor นั้นสามารถลงทะเบียนเพื่อซื้อ Exchange Order เพื่อนำไปแลกเป็นตั๋ว Japan Rail Pass โดย Exchange Order สามารถหาซื้อได้ที่สนามบินนาริตะ หลังจากได้ Exchange Order แล้วก็ถึงขั้นตอนการนำ Exchange Order ไปแลก Japan Rail Pass สำหรับนักท่องเที่ยว
Cr. livingthedreamrtw
Japan Rail Pass จะเป็นตั๋วแบบเหมา คือซื้อมาแล้วจะขึ้นรถไฟ JR Line กี่เที่ยวก็ได้ ไม่จำกัด โดยที่ Japan Rail Pass จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แบบ Green Pass กับแบบ Ordinary Pass
ถึงตรงนี้หลายๆ คนจะสงสัยว่าสองแบบนี้ต่างกันยังไง ง่ายๆก็คือต่างกันที่ชื่อ ไม่ใช่เฟ่ย!!! ต่างกันที่สิทธิพิเศษต่างหาก ตามรถไฟที่วิ่งออกนอกโตเกียวไปตามจังหวัดอื่นๆจะมีการแยกออกเป็น 2 ตู้ ก็คือ Green กับ Ordinary สำหรับ Green Pass จะได้ที่นั่งที่กว้างกว่า และไม่ต้องไปเบียดกับคนอื่นมาก จะคล้ายๆ Business Class กับ Economy Class ของเครื่องบินนี่แหละ (เอาตามแบบไทยๆ ก็คือตู้แอร์ชั้น 1 กับ ชั้น 2 นั่นแหละ แค่มันไม่ใช่ตู้นอนเฉยๆ) แนะนำสำหรับผู้ที่ไปเที่ยวเฉพาะในโตเกียว หรือจังหวัดใกล้เคียงที่เดินทางไม่นานมากเกินไป ซื้อแค่ Ordinary Pass ก็เหลือแหล่
ประเภทตั๋ว Green Pass VS Ordinary Pass
JR Pass จะมีให้เลือกซื้อ 3 แบบคือ 7 วัน 14 วันและ 21 วันตามนี้จ้า
Green Pass
ระยะเวลา 7 วัน : ผู้ใหญ่ 37,800 เยน เด็ก 18,900 เยน
ระยะเวลา 14 วัน : ผู้ใหญ่ 61,200 เยน เด็ก 30,600 เยน
ระยะเวลา 21 วัน : ผู้ใหญ่ 79,600 เยน เด็ก 39,800 เยน
Ordinary Pass
ระยะเวลา 7 วัน : ผู้ใหญ่ 28,300 เยน เด็ก 14,150 เยน
ระยะเวลา 14 วัน : ผู้ใหญ่ 45,100 เยน เด็ก 22,550 เยน
ระยะเวลา 21 วัน : ผู้ใหญ่ 57,700 เยน เด็ก 28,850 เยน
นอกจากรถไฟแล้วยังสามารถใช้ JR Pass สำหรับรถโดยสารของ JR เกือบทั่วญี่ปุ่นได้อีกด้วยนะ ย้ำอีกทีว่า JR Pass ใช้ได้เฉพาะกับรถไฟของ JR Line เท่านั้น สำหรับสาย Keisei ต้องหยอดเหรียญซื้อตั๋วเอาหรือนักท่องเที่ยวที่อยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายสามารถหยอดเหรียญซื้อตั๋วได้เองเลย (แนะนำว่าหาคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นติดตัวไปด้วยก็ดี)
JR Line VS Keisei Line
สำหรับรถไฟจากสนามบินนาริตะไปยังกรุงโตเกียวนั้นจะมีอยู่ 2 สายด้วยกันได้แก่ JR Line และ Keisei Line
JR Line จะมีอยู่ 2 ขบวน คือ JR Narita Express กับ JR Rapid Service โดยที่ขบวน Express นั้นจะถึงสถานี JR Tokyo ได้เร็วกว่าและราคาแพงกว่า JR Rapid Service เนื่องจากจอดตามสถานีน้อยกว่านั่นเอง
Cr. blog.gaijinpot.com
Keisei Line จะมีอยู่ 2 ขบวนเช่นกัน คือ Keisei Skyliner กับ Keisei Limited Express โดยทั้งสองขบวนจะถึงสถานี Keisei Ueno Station ใกล้ๆกับสวนอุเอโนะ โดย Skyliner จะใช้เวลาน้อยกว่าและแพงกว่า Limited Express อยู่พอสมควร
Cr. commons.wikimedia.org
การซื้อตั๋วจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ
Cr. vnetravel.com.vn
- เลือกจำนวนตั๋วที่ต้องการจะซื้อ
- เลือกเด็กหรือผู้ใหญ่
- เลือกประเภทของรถ (เขียนไว้ท้ายๆ entry)
- เลือกราคาตามที่แจ้งไว้บนป้าย (คล้าย BTS บ้านเรานี่แหละ)
- หยอดเงินตามจำนวน (ตู้สามารถทอนเป็นแบงค์ได้ แหล่มเลย)
เอาล่ะ หลังจากได้ตั๋วมาแล้วก็ถึงเวลาเดินทางสู่เมืองหลวงของแดนอาทิตย์อุทัยกันซะที
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถไฟ
รถไฟของญี่ปุ่นที่วิ่งในเขตตัวเมืองจะมีอยู่ 4 แบบ ได้แก่:
1. Local – จะจอดทุกสถานีย่อยๆที่ผ่าน ใช้เวลาในการเดินทางนาน แต่ราคาตั๋วถูกที่สุด และมีรถไฟวิ่งอยู่หลายขบวน ไม่ต้องรอนาน
2. Rapid service – จะจอดน้อยกว่า Local เพื่อย่นระยะเวลาเดินทาง ราคาตั๋วเท่า Local แต่ต้องรอนานหน่อย
3. Express – จะจอดน้อยกว่า Rapid service ราคาตั๋วจะอัพขึ้นมาจาก Local และ Rapid service พอสมควร
4. Limited Express – จะจอดเฉพาะสถานีหลักตามย่านต่างๆ ราคาตั๋วแพงที่สุด และอาจจะต้องรอนานตั้งแต่ 20-40 นาทีต่อขบวนเลยทีเดียว
โดยถ้าจะเดินทางใกล้ๆ แนะนำ Local หรือ Rapid Service ดีกว่าค่ะ
มือใหม่หัดขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ
แชร์ บทความนี้
พูดคุย เกี่ยวกับบทความนี้